เลือกโคมไฟด้วยตัวเองไม่ยาก ตอนที่ 3
ว่าด้วยเรื่องของหลอดไฟที่ให้แสงสว่างในยามค่ำคืน ทำให้เราไม่ต้องจุดฟืนในถ้ำเพื่อขับไล่สัตว์กินเนื้อ (ท้าวความไกลไปนิด) อันนี้ต้องขอบคุณ คุณโทมัส เอดิสันเขา ที่ลองผิดลองถูกจนไปเอาเส้นทังสเตนมาเป็นไส้หลอด เราจึงเรียกว่า หลอดไส้ทังสเตน (tungsten-filament lamps) หรือ หลอดแบบเผาไส้ (Incandescent light bulbs) จนสามารถใช้ไฟฟ้าสร้างแสงสว่างได้ โดยลักษณะ เฉพาะของหลอดประเภทนี้ คือ การใช้กระแสไฟฟ้า ไปผ่านตัวไส้หลอด(ฉนวน) ทำให้ไส้ร้อนขึ้นในระบบปิดด้วยปลอกแก้ว หรือ quartz จนคายพลังงานออกมาเป็นแสงสว่าง ทำให้หลอดไฟประเภทนี้ ไงๆก็ร้อน ก็มันร้อนก่อนแล้วค่อยมีแสงออกมานิ
อย่างไรก็ตามในยุคนั้นก็ถือว่าเจ๋งมากแล้ว หลังๆก็พยายามพัฒนาให้ไส้ขาดยากขึ้น (เพื่อให้ใส่พลังงานได้มากขึ้น สว่างขึ้น) หรือแม้แต่การทำให้มีค่าความสว่างที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จนเกิดหลอดไฟแบบเผาไส้ขึ้นมาอีกประเภทหนึ่งคือ หลอดฮาโลเจน (Halogen lighting bulbs)
หลอดประเภทนี้ จะสามารถสร้างความร้อน เปลี่ยนเป็นแสงสว่างได้มากกว่าหลอดไส้แบบเดิม และมีประสิทธิภาพ(ค่าความสว่างต่อกำลังไฟฟ้า – Lumen/Watt) สูงขึ้นด้วย แต่ความร้อนณ ตัวหลอดนั้นสูงมากๆๆๆๆ สูงขนาดถ้าหลอดนี้อยู่ติดกับผ้าม่านหรือวัตถุไวไฟ นี่สามารถทำไฟลุกได้เลย ดังนั้นถ้าเลือกใช้หลอดไฟประเภทนี้ก็ควรมีระยะห่างจากพื้นผิวด้านล่างพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าหลอดนี้จะไม่มีประโยชน์ เสียทีที่เกิดมากซะเลย หลอดนี้เขาเอาไว้ละลายน้ำแข็งที่ขั้วโลกไง !! เอาจริงๆก็คือ แสงที่ได้จากหลอดแบบเผาไส้จะให้แสงที่อบอุ่นและเป็นธรรมชาติ แสงมีประกายสวยกว่าพวกหลอดประเภทอื่นๆจึงนิยมใช้กับพวกโคมไฟคริสตัล สร้างอารมย์หรู คลาสสิค
ต่อมาเมื่อมีคนคิดค้นว่าเมื่อเราเอากระแสไฟฟ้าปล่อยผ่านแก๊สปรอท ในหลอดท่อ ไอ้แก๊สปรอทนี้มันจะปล่อยรังสีออกมา ซึ่งมีรังสีบางส่วนที่ตามองเห็นได้ เป็นความสว่างขึ้น เป็นหลอดไฟอิเล็คโทนิค ต้องมี Ballast และ Starter ในการใช้งาน แต่เพื่อความสะดวกในการใช้แทนหลอดเผาไส้เดิม เขาก็จะเอาอุปกรณ์เหล่านั้นยัดไว้ในช่องเล็กๆระหว่างขั้ว กะ ท่อแก้ว เรียกว่า CFL (Compact Fluorescent Lamp) ที่เรายังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน
แต่ก็อย่างว่าครับ ในโลกของความเป็นจริง ไม่มีพระเอกคนไหนสมบูรณ์แบบไปซะหมด สิ่งที่ซ่อนอยู่ใน หลอด CFL คือหลอดนี้เกิดจากการปล่อยรังสีออกมาหลายระดับ ซึ่งมีแสง UV ที่สาวๆกลัวกันซ่อนอยู่ แต่เขาจะกรองมันด้วยชั้นสีขาวๆ ให้รังสีที่ได้เป็นแค่ช่วงคลื่นที่มองเห็นได้เท่านั้น ดังนั้นถ้าหลอดไหนมีลอยถลอกๆจนเห็นเป็นรอยใสๆในท่อแก้วละก็ ห้ามใช้เด็ดขาดเลยนะอีกเรื่องนึงที่อันตราย ร้ายกาจมากก็คือแก๊สปรอทในท่อแก้ว ซึ่งเป็นสารพิษต่อคน สัตว์และสิ่งแวดล้อมด้วย ถ้าหล่นแตก ก็ไม่ควรทำความสะอาดด้วยมือเปล่า ควรใช้ผ้าโกยๆแล้วทิ้งผ้าไปเลย
กลับมาเรื่องลักษณะของแสงและการใช้งานดีกว่า แสงที่ได้จาก CFL จะมีความนวล และไม่มีประกาย (ก็ต้นกำเนิดแสงมันมาจากทั้งท่อนิ) จึงเหมาะกับการให้ความสว่างโดยรวมมากกว่า นิยมใส่ในเบ้า DownLight หรือโคมไฟซาลาเปา อายุการใช้งานจะยาวนานขึ้นเป็น 10000 ชม. ค่าความสว่างต่อกำลังไฟ ก็มากขึ้นอีก
แต่ตราบใดที่มนุษย์ยังมีลมหายใจ ก็ไม่อาจขาดพัฒนาการ จนสามารถนำเอาสารแข็งประเภทหนึ่ง เรียกว่าไดโอด (Diode) มาอัดประจุไฟฟ้าเข้าไปแล้วมันดันเปล่งแสงได้ !! เราเลยได้ LED (light-emitting diode) แปลว่า ไดโอดเปล่งแสง ตรงตัวเลยทีเดียว
Cซึ่งแอลอีดีนี้ ต้องเรียกว่าเป็น พระเอก เหนือ พระเอก เทพเหนือเทพ เพราะแทบหาข้อเสียเขาไม่ได้เลย ทั้งประหยัดไฟ ไม่ร้อน ไม่มียูวี แถมตกไม่แตก(เพราะไม่มีแก้วเป็นส่วนประกอบหลัก) แถมยังปรับสีของแสงได้เหมือนสั่งได้อีก (ค่าอุณหภูมิสี ตอนก่อนหน้า) อยากได้แสงเป็นประกายก็ทำได้ อยากได้แสงแบบนุ่มก็แค่หาอะไรมากรอง ราคาก็ถูกลงมาเยอะแล้วด้วย อย่างนั้นจะมีอะไรให้ติอีก ไม่งั้นจะขัดกับหลักการไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบของผม เอาเป็นว่าติดไว้ก่อนแล้วกันครับ เจอเมื่อไรจะมาบอกแล้วกัน………………….
ในที่สุดก็เจอแล้ว !!! สิ่งที่หลอด LED (ในตอนนี้ยังแทนไม่ได้) คือสูงสุดสู่สามัญครับ หลอดเผาไส้กลับชาติมาเกิดใหม่ เรียกว่า หลอดเอดิสัน วินเทจ
หลอดนี้สร้างอารมณ์แบบวินเทจ คลาสสิค ด้วยลายเส้นของหลอดไส้ชวนให้นั่งมองได้ทั้งวัน ไม่แสบตา เกิดมาเป็นหลอดไฟเพื่อสร้างบรรยากาศอย่างแท้จริง ปัจจุบันแม้ว่าหลอด LED จะพยายามทำเลียนแบบอย่างไร เหล่าสาวกหลอดวินเทจก็ไม่ยอมเปลี่ยนไปใช้หลอด LED ตรงกับประโยคที่ว่า “~เราไปด้วยกันไม่ได้ เธอดีเกินไป~” ซะเหลือเกิน
ตามอ่านตอนเก่าๆได้ที่นี่ครับ
ตอนที่ 1 ประเภทของแสงไฟในบ้านได้ที่นี่
ตอนที่ 2 สีของแสงนั้นก็สำคัญ
เช่นเดิมครับ หากต้องการ ติชม หรืออยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการใช้โคมไฟแต่งบ้าน เม้นถามมาได้ด้านล่างคับ
หากชอบบทความนี้ การ Like และ Share จะแสดงถึงเสียงตอบรับเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน และรู้ความสนใจของผู้อ่านด้วยครับ